Sunday, 28 January 2018

โลกาภิวัตน์กับบริษัทญี่ปุ่น

อาทิตย์นี้โจได้เถียงกันกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์กับบริษัทญี่ปุ่นและรู้สึกว่าการจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันยากมาก แต่ยังดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ช่วงหลังนี้บริษัทญี่ปุ่นรู้สึกสนใจกับการจ้างแรงงานต่างชาติฝีมือดี  แต่ข้แม้ว่าไม่ว่าจะมีความสามารถที่ดีแค่ไหนก็จะต้องมีความสามารถภาษาญี่ปุ่นที่ดีด้วยเพราะถ้าไม่มีความสามารถภาษาญี่ปุ่นที่ดีเท่าควจะหางานที่ญี่ปุ่นยากมาก  โจรู้สึกว่าสถานการณ์นี้น่าเสียดายมากเพราะว่าจำนวนคนที่มีทั้งฝีมือดีสูงกับมีความสามารถภาษาญี่ปุ่นนั้นมีน้อยมาก โจคิดว่าถ้าบริษัทอยากจะจ้างแรงงานฝีมือดีจริงๆ ตอนที่บริษัทหาพนักงาน บริษัทควจะพิจารณาแรงงานที่ไม่มีความสามารถภาษาญี่ปุ่นด้วย โจรู้ว่าหลายบริษัทรู้สึกกลัวที่จะจ้างแรงงานที่ไม่มีความสามารถญี่ปุ่นเพราะว่าการทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษจะเป็นอุปสรรคก็ยากมากและจะต้องมีการปรับตัวในการทำงารที่ยุ่งยาก แต่โจคิดว่าคนที่คิดแบบนี้อาจจะไม่เห็นความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษก่อนที่คนต่างชาติที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้จะเข้ามาทำงานที่บริษัท(เพราะว่าถ้าทุกคนพูดภาษาญี่ปุ่นได้ จะได้ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ)  
โจจึงคิดว่าการจ้างแรงงานต่างชาติฝีมือดีที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ควจะเข้ามาก่อนเพราะโจคิดว่าคนที่ไม่ค่อยมีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ หลายๆคนมีความสามารถอ่านเขียนภาษาอังกฤษที่ดีและแม้ว่าภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยคล่อง แต่พวกเขาก็สามารถสื่อสารกับคนต่างชาติได้ ถ้าพวกเขามีโอกาสพูดฟังภาษาอังกฤษที่ทำงานทุกวัน พวกเขาอาจจะเคยชินกับการทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว โจคิดว่าความเขินอายในการพูดภาษาอังกฤษอาจจะเป็นอุปสรรคหลักมากกว่าความสามารถภาษาอังกฤษ แต่เพื่อนร่วมงานของโจไม่ยอมรับความคิดเห็นของโจเลยและบอกว่าจะสอนภาษาญี่ปุ่นให้คนต่างชาติและให้พวกเขาทำงานโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นดีกว่าที่จะให้คนญี่ปุ่นทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษ (โจเคยแนะนำให้เขาเรียนภาษาอังกฤษหลายครั้งตั้งแต่ราวๆ ๑๐ ปีก่อน แต่เขาปฏิเสธทุกครั้งโดยบอกว่าไม่ค่อยจำเป็นที่จะเรียนภาษาอังกฤษและมีแต่เสียเวลาเปล่า) ถ้าหลายๆคนยังมีทัศนคติอย่างนี้ต่อไป แรงงานต่างชาติฝีมือดีอาจจะเลือกไปทำงานที่ประเทศอื่นและความสามารถในการแข่งขันของบริษัทญี่ปุ่นในระดับโลกก็จะลดลง

Sunday, 21 January 2018

ปัญหาผิว

https://amanaimages.com/info/infoRM.aspx?SearchKey=01651020013&GroupCD=0&no=
ช่วงนี้โจรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื่องจากผิวหนังอักเสบ (รู้สึกแสบผิวและรู้สึกตัวร้อนด้วย) ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอากาศแห้งหรือความเครียดหรือปัจจัยอื่นเช่นโรคภูมิแพ้รึเปล่าอ อาทิตย์ที่แล้วโจพยายามนอนผักผ่อนให้นานขึ้นเพื่อหาสาเหตุว่ามาจากความเหนื่อยล้ารึเปล่า แต่นอนเท่าไรก็ไม่ดีขึ้นเลย วันศุกร์ที่ผ่านมา โจจึงใช้วันหยุดเพื่อไปหาหมอ หมอบอกว่า เรื่องอาการผิวแสบอาจจะเกี่ยวกับหลายๆปัจจัย เพราะในฤดูนี้ คนที่มีปัญหาผิวหลายคน อาการแย่ลงได้ง่าย เพราะว่าผิวแห้งมาก หมอแนะนำให้โจทาครีมเพื่อป้องกันผิวแห้งและผิวกับอักเสบ หลังจากไปหาหมอ โจไปซื้อเครื่องทำความชื้นในห้องมาด้วย ดูเหมือนว่าระดับความชื้นที่เหมาะสมกับผิว คือ ราวๆ 50- 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ในฤดูนี้ บางวัน ระดับความชื้นในห้องต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ โจซื้อมา ๒ เครื่องสำหรับที่ห้องกับออฟฟิศ โจลองใช้ในห้องแล้ว ระดับความเพิ่มขึ้นถึง ราวๆ 60 เปอร์เซ็นต์ 
หวังว่าอาการจะดีขึ้นในเร็วๆ (การอยู่ในไอน้ำของเครื่องทำความชื้น ทำให้โจรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นซาลาเปา)

Sunday, 14 January 2018

ความรู้สึกหลังจากอ่านหนังสือเรื่อง Option B

อาทิตย์ที่แล้วเพื่อนร่วมงานที่สิงคโปร์ซื้อหนังสือเล่มหนึงส่งให้โจ ผู้เขียนของหนังสือเล่มนี้เป็น COO (Chief Operating Officor ประธานฝ่ายปฏิบัติการ) ของบริษัท Facebook
หนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับสามีของตัวผู้เขียนเองที่เสียชีวิตระหว่างการออกกำลังกาย (เขายังอายุ ๔๘ ปี) และผู้เขียนได้คิดเกี่ยวกับวิธีสร้าง “Resilient (คือ ความสามารถที่จะฟื้นตัว ตอนเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก)โดยหา Option B   แทนที่ Option A (Option A ที่ไม่สามารถเป็นไปได้ จึงหาทางเลือกที่ดีสุดรองลงมาเป็น Option B)
ตอนโจอ่านหนังสือเล่มนี้ โจรู้สึกว่าลักษณะทางความเศร้าที่เรารู้สึกตอนครอบครัวเกิดการสูญเสียมีความแต่กต่างกันมากระหว่างคนที่ครอบครัวเสียชีวิตอย่างกะทันหัน(เหมือนผู้เขียนหนังสือเล่มนี้) กับคนที่สามารถคาดการณ์การสูญเสียก่อนได้
คนที่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการสูญเสียของครอบครัวอาจจะมีอาการช็อกมากๆ แต่คนที่มีเวลาเตรียมใจก่อนการสูญเสียมีอาจจะมีเวลาเตรียมตัวและอาจจะสามารถสร้างช่วงเวลาที่ดีกับครอบครัวได้  แต่เรื่องนี้ไม่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของคนที่สามารถคาดการณ์การสูญเสียก่อนได้ดีกว่า เพราะว่าความเศร้าของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่พวกเขารู้ว่าเวลาที่เหลืออยู่กับครอบครัวเหลืออีกไม่นาน โจไม่กล้าบอกว่าการสูญเสียแบบไหนเศร้ากว่าเศร้าน้อยกว่า เพราะว่าตอนที่คนในครอบครัวเสียชีวิต ทุกๆคนมีความเศร้ที่แตกต่างกันและไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

Sunday, 7 January 2018

คนไทยที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดของญี่ปุ่น

อาทิตย์นี้โจได้มีโอกาสไปทานอาหารกับคนไทยที่มาเที่ยวญี่ปุ่นในปีใหม่และรู้สึกตกใจที่รู้ว่าเขาเคยไปเที่ยวจังหวัด Saga (ซะงะ/ซากะ) ที่โจรู้สึกตกใจเพราะว่าจังหวัดซะงะไม่ค่อยมีอะไรที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยว (โจก็ยังไม่เคยไปเที่ยวที่นั่น) โจจึงถามเขาว่าทำไมถึงตั้งใจเลือกไปเที่ยวที่นั่น เขาบอกว่ามีซีรี่ย์ของไทยเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับจังหวัดซะงะ (ซีรีส์นี้อาจจะ เป็นเรื่อง ซากะ..ฉันจะคิดถึงเธอ) โจจึงเข้าใจว่าซีรี่ย์เป็นเหตุผลสำคัญทำให้เขาเลือกมาเที่ยวที่นี่
ตั้งแต่ราวๆ 5 ปีที่แล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยก็เพิ่มขึ้นมากและ ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวไทย ราวๆ ๑ ล้านคนมาเที่ยวญี่ปุ่นโดยมีคนเที่ยวซ้ำรวม อยู่ด้วย ((ราวๆ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของคนไทยเป็นคนที่มาเที่ยวซ้ำและราวๆ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของคนที่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นมาเที่ยวซ้ำมากกว่า ๔ ครั้ง) 
แต่คนไทยที่นิยมไปเที่ยวต่างจังหวัดยังมีไม่มาก (เช่น มีแค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ที่ไปเที่ยวจังหวัดซะงะ)

รัฐบาลตั้งใจที่ก็อยากจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปต่างจังหวัดเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของต่างจังหวัด
โจคิดว่าต่างจังหวัดสามารถดึงดุดความสนใจของคนไทยได้โดยใช้ซีรีย์เหมือนกับจังหวัดซะงะ โจจึงรู้สึกสนใจว่าทำไมจังหวัดซะงะสามารถมีโอกาสสร้างซีรีย์นี้ได้  







Wednesday, 3 January 2018

เป้าหมายของ ปีนี้

ทุกๆปีใหม่ปกติแล้ว โจตั้งเป้าหมมายของปีราวๆ 5 เป้าหมาย เป็นเป้าหมายที่ดูทะเยอทะยาน แต่ปีใหม่นี้โจไม่กล้าที่จะมีเป้าหมายทะเยอทะยาน เพราะว่าโจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจและคิดว่าที่การที่จะกลับมาเป็นปกติจากการสูญเสียของแม่ต้องเวลานาน ดังนั้นเป้าหมายของปีใหม่นี้จึงมีเพียง ๑ เป้าหมายเท่านั้น (เป้าหมายที่ง่าย และเป็นนามประธรรมมาก) เป้าหมายของปีนี้ คือ สิ้นปีนี้ จะรู้สึกว่าปีนี้เป็นปีที่ดีกว่าปีที่แล้ว” ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่โจอยากจะทำคืออะไร แต่โจจะต้องหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนเขียนไดอารี่นี้ 
โจนึกถึง 1 ฉากของ หนังเรื่องเกี่ยวกับ ไมเคิลแจ็คสัน (“This is it”) เป็นเรื่องของคนหนึ่ง ที่ผ่านออดิชั่น และได้มีโอกาสเต้นกับ ไมเคิลแจ็คสัน เขาได้พูดว่าผมตามมาสิ่งที่จะสามารถเข้ามาสั่นสะเทือนชิวีตของผมและทำให้ชิวีตของผมมีความหมายและผมเชื่อว่านีแหละคือสิ่งนี้ (I've kind of been searching for something to shake me up a little bit and give me a kind of a meaning, to believe in something,,,,,,and this is it )
โจไม่ได้คาดหวังว่ามีโอกาสใหญ่แบบนี้ แต่อยากจะทำสิ่งที่สามารถให้กำลังใจกับตัวเอง