Saturday 20 April 2013

การไปเที่ยวกรุงเทพฯ



อาทิตย์ที่แล้วโจไปเที่ยวกรุงเทพฯ ๔ วัน (วันที่ ๑๓-๑๖) โจเคยไปเที่ยวไทยหลายครั้ง แต่ไปเที่ยวไทยในช่วงสงกรานต์เป็นครั้งแรก เพราะว่าเมษายนเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณญี่ปุ่น และก่อนหน้านี้งานยุ่งมากและไม่ได้ไปเที่ยว เมษายนของปีนี้โจไม่ค่อยยุ่งมากเป็นครั้งแรกในรอบ ๖-๗ ปีที่ผ่านมา แต่อาทิตย์ที่แล้วโจไม่ค่อยสบาย (ก่อนไปเที่ยวรู้สึกเจ็บกระเพาะและเป็นหวัดด้วย) ครั้งนี้จึงไปเที่ยวได้ไม่เยอะและพักผ่อนมากๆ (คิดว่าทุกวันนอนมากกว่า ๑๐ ชั่วโมง ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก) 
ครั้งนี้ โจมาถึงกรุงเทพฯตอนเช้าและต้องรอเวลาเข้าโรงแรม(ถ้าเข้าก่อนบ่าย ๒ ลูกค้าต้องจ่ายเงิน) โจก็เลยฝากกระเป๋าและไปดูหนังไทยก่อน หนังเรื่องนี้(ชื่อ พี่มาก พระโขนง)น่ากลัวนิดหน่อยแต่น่าสนุก หลังจากนั้นโจไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ร้านที่เพื่อนทำงานอยู่ เพื่อนคนนี้เคยทำงานที่ประเทศโอมาน แต่เขาเริ่มทำงานที่ไทยอีกครั้งตั้งแต่เดือนที่แล้ว อาหารญี่ปุ่นของร้านเขาอร่อยและราคาก็ไม่ค่อยแพง
ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ โจไปเที่ยวหลายที่ เช่น โจไปดูงานสงกรานต์ที่ถนนสีลม แต่ไม่อยากเปียกและเป็นหวัดหนัก โจก็เลยดูคนที่เล่นน้ำจากในร้าน ตกใจที่เห็นว่าหลายคนเล่นน้ำกันโดยไม่ค่อยมีระเบียบ
จริงๆแล้วโจอยากไปดูถนนข้าวสารด้วยเพราะว่าที่นั่นเป็นที่ที่มีชื่อเสียงมากในงานสงกรานต์สำหรับคนต่างชาติ นอกจากนี้แล้วโจไม่ได้ไปที่นั่นมากกว่า ๕ ปี และรู้สึกสนใจว่าถนนที่นั่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบาง(มีคนบอกว่า เปรียบเทียบกับเมื่อก่อน ถนนข้าวสารเปลี่ยนแปลงไปมากๆ) แต่ในที่สุดโจก็ไม่ได้ไปเพราะโจได้ยินว่าถ้าไปที่นั่นโจจะเปียกมากแน่ๆ(เหมือนกับ สงคราม ) ดูเฉยๆไม่ได้
นอกจากไปดูงานสงกรานต์แล้ว ไปเที่ยวที่ เอเชียนทีค เป็นครั้งแรก ขึ้นชิงช้าสวรรค์และดูวิวสนุกดี รู้สึกตกใจที่รู้ความแตกต่างระหว่างไทยกับญี่ปุ่น (ที่ญี่ปุ่น ชิงช้าสวรรค์ไปช้าๆ และลูกค้าสามารถอยู่ที่นั่ได้นแค่ ๑ รอบ แต่ที่ไทย ชิงช้าสวรรค์ไปเร็วกว่าญี่ปุ่น และลูกค้าสามารถขึ้นได้ ๓-๔ รอบ)  
 หลังจากขึ้นชิงช้าสวรรค์ โจลองสปาปลาเป็นครั้งแรก รู้สึกจั๊กจี้มากแต่สบายดี  
ช่วงตอนเย็น โจไปสเตท ทาวเวอร์ เคยมาที่นี่ปีที่แล้ว และรู้สึกว่าวิวที่มองจากนี่สวยมาก
ครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยวนอกกรุงเทพฯ แต่สามารถพักผ่อนโดยไม่คิดอะไรได้ (ไม่รู้สึกเจ็บกระเพาะเลย) การลดค่าเงินเยนทำให้โจรู้สึกว่าอะไรๆก็แพงขึ้นราวๆ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงอย่างนั่นก็อยากจะมาที่นี่บ่อยๆ คราวหน้าอยากจะไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วย

Sunday 7 April 2013

ไม่สบาย (เจ็บกระเพาะ)



อาทิตย์ที่แล้ว โจไม่สบายเลยทั้งอาทิตย์ ตอนแรก โจรู้สึกเจ็บกระเพาะมาก(เพราะมีน้ำย่อยมากไป) ตอนหลังเป็นหวัดด้วย (ไปทำงานแต่ไม่ได้มีสมาธิ) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ที่รู้สึกเจ็บกระเพาะมาก กันยายนในปีที่แล้ว โจรู้สึกเจ็บกระเพาะ และรู้สึกมีก๊าซในกระเพาะมาก บ่อยๆ  โจจึงไปหาหมอและตรวจร่างกาย (รับการส่องกล้องตรวจกระเพาะด้วย) ตอนนั้นหมอบอกว่ากระเพาะของโจไม่มีปัญหาและให้โจกินยาราวๆ ๑ เดือน หลังจากนั้นรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย


แต่เดี่ยวนี้รู้สึกเจ็บกระเพาะมากอีกครั้ง อาทิตย์ที่แล้วโจก็เลยไปหาหมออีกครั้ง และเริ่มกินยาที่ป้องกันน้ำย่อย แต่ครั้งนี้ความเจ็บไม่หายเลย  รู้สึกเจ็บกระเพาะมากทั้งวัน (เพื่อนที่เคยกินยานี้บอกว่า ผลของยานี้ แรงมาก ถ้าโจรู้สึกเจ็บ หลังจากกินยานี้ มีปัจจัยอื่นที่ทำให้โจรู้สึกเจ็บกระเพาะ) โจคิดว่าสถานการณ์นี้มาจากการเพิ่มขึ้นของความเครียด เดี๋ยวนี้โจรู้สึกว่าตัวเองมีความเครียดมากกว่าเมื่อก่อนเพราะคิดเกี่ยวกับหลายสิ่งมาก (นอกจากความเครียด อาจจะไม่มีปัญหาอื่นเลยเพราะโจไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และ วิ่งจ๊อกกิ้งบ่อยๆ)


โจบอกให้ตัวเองฟังว่า โจไม่ต้องคิดมากไป และ ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่ดูเหมือนว่าร่างกายรู้สึกเครียดมากกว่าที่คิดเอาไว้ คิดว่าการคิดมากคือสิ่งที่สำคัญมากต่อการพัฒนาตัวเอง(ไม่อยากหยุดคิด) แต่อยากจะรู้วิธีควบคุมและลดความเครียดของตัวเองให้เก่งกว่าตอนนี้ คิดว่าจะเพิ่มเวลาที่พักผ่อนโดยไม่คิดอะไรดี 
 

Monday 1 April 2013

เงินเยน-เงินบาท



ตั้งแต่ธันวาคมที่ผ่านมา ค่าเงินเยนลดลงมาก เพราะธนาคารกลางเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน และประธานก็เปลี่ยนด้วย  นอกจากนี้แล้วเงินบาทก็แข็งขึ้น (เพราะ การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นมาก)ด้วย ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนต่อเงินบาท ลดลงมาก (สำหรับโจแล้ว เรื่องนี้ เป็นเรื่องไม่ดีเลย...ไปเที่ยวไทยแพงขึ้นมากแล้ว) ราวๆ ๑ ปีที่แล้ว  ๑ หมื่น เยน เท่ากับ ราวๆ ๔ พัน บาท แต่ ตอนนี้ ๑ หมื่น เยน เท่ากับ แค่ ๓ พันบาท

ตอนนี้โจไม่ได้วิจัยเกี่ยวกับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ก็เลยไม่แน่ใจว่าความคิดของตัวเองถูกหรือไม่ แต่คิดว่า นอกจากโจแล้ว สำหรับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะบริษัททางการส่งออก เงินบาทตอนนี้แข็งมากไป และคิดว่า  (หวังว่า) ค่าเงินไทยจะลดลง ในอนาคตอีกครั้ง แต่โจคิดว่าสถานการณ์นี้ขึ้นอยู่กับธนาคารกลางไทย
มีคนบอกว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อทำให้ค่าเงินบาทลดลงและช่วยเหลือเศรษฐกิจ 
แต่บางคนกลัวว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงมาก (การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำก็จะทำให้อัตรานี้เพิ่มขึ้นด้วย)  นอกจากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นแล้ว หลายคนกลัวว่า การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินจะทำให้ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เพิ่มขึ้นด้วย  โจก็คิดว่าตอนนี้ เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะฟองสบู่นิดหน่อยแล้ว เพราะ อัตรา จำนวนเงินในเศรษฐกิจต่อ GDP เพิ่มขึ้นมากกว่าตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง และ NPL ก็กำลังเพิ่มขึ้นด้วย 

สำหรับธนาคารกลาง การตัดสินใจในการเลือกดำเนินนโยบายเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะถ้าให้ความสำคัญในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อกับการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในอนาคตมาก ความเสี่ยงภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในระยะสั้นจะเพิ่มขึ้น แต่ ถ้าให้ความสำคัญกับสถานการณ์ตอนนี้ และดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นต่อไป
โจก็เลยคิดว่าการลดค่าเงินบาทขึ้นอยู่กับสถานการณ์นี้

ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ (บุหรี่ไฟฟ้า)

วันนี้โจอ่านบทความเกี่ยวกับยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ (บุหรี่ไฟฟ้า) วันนี้โจอ่านบทความเกี่ยวกับยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ (บุหรี่ไฟฟ้า)  นักเขียนบอกว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าดีกว่าบุหรี่ธรรมดา เพราะว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถแยก สิ่งที่ไม่ดีของบุหรี่ เช่น น้ำมันดิน คาร์บอนมอนอกไซด์ ออกจากนิโคตินในบุหรี่ได้ นอกจากนี้แล้วควันของบุหรี่ไฟฟ้าไม่เหม็นเลย สำหรับทั้งนักสูบบุหรี่และคนที่อยู่ใกล้กับนักสูบบุหรี่
แต่หลายคนยังไม่ยอมรับบุหรี่ไฟฟ้า เพราะพวกเขากลัวว่า คนที่ยังไม่เคยสูบบุหรี่เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้า และจำนวนของนักสูบบุหรี่ธรรมดาก็จะเพิ่มขึ้น บางประเทศก็เลยจำกัดการสูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่นักเขียนบอกว่า ความคิดนี้ไม่ถูกเลย เพราะถ้านักสูบบุหรี่ธรรมดาหลายคนเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้า และหยุดสูบบุหรี่ธรรมดา จำนวนของนักสูบบุหรี่ธรรมดาจะลดลง บทความนี้ก็เลยบอกว่าเราควรจะแนะนำการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 
โจไม่เคยสูบบุหรี่ และไม่สนใจทั้งบุหรี่ธรรมดากับบุหรี่ไฟฟ้า โจก็เลยไม่แน่ใจ ว่าสำหรับนักสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าใช้ได้ง่าย และราคาก็ถูกด้วยหรือไม่ (ถ้าราคาบุหรี่ไฟ้ฟ้าแพงกว่าบุหรี่ธรรมดามาก นักสูบบุหรี่อาจจะไม่ค่อยเลือกบุหรี่ไฟฟ้า) นักเขียนบอกว่า ควันของบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีกลิ่น และไม่มีปัญหาสำหรับสุขภาพ แต่ยังไงโจก็ไม่อยากจะอยู่ในกลุ่มควันของนักสูบบุหรี่ อยากรู้ว่าการพัฒนาบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยควันจะยากขึ้นกว่านี้หรือไม่

<อ้างอิง>
Electronic cigarettes: Why the fire?