Saturday, 29 December 2018

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย

อาทิตย์ที่แล้วโจไปทำงาน (และเที่ยวด้วย) ที่กรุงเทพฯมา ครั้งนี้โจไปเจอนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจในระยะสั้นกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (เช่นปฏิรูประบบภาษี/ระบบประกันสังคม/ระบบการศึกษา เป็นต้น) มี ๒ คนที่ให้ความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 
https://maxpeoplehr.com/what-does-human-resources-really-do/
คนแรก (พนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่ช่วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศกำลังพัฒนา) ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของประเทศไทยเข้าใจความสำคัญของการปฏิรูปทางการศึกษา แต่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในลำดับแรกๆ รัฐบาลยังคงโฟกัสอยู่กับการพัฒนาสาธารณูปโภค เพราะว่าการพัฒนาสาธารณูปโภคนั้นใช้เวลาสั้นและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนกว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ผู้ให้ความคิดเห็นกล่าวว่า เขารู้สึกกังวลว่าแม้ว่าจะพัฒนาสาธารณูปโภคมากแค่ไหน แต่หากทรัพยากรมนุษย์ยังคงไม่พัฒนา (เช่น วิศวกร IT/Roboticsแพทย์ เป็นต้น) อาจจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้
คนที่ ๒ ( เป็นคนญี่ปุ่นที่ทำงานเป็นผู้จัดการของบริษัทจัดหางานที่อาศัยอยู่ที่ไทยมามากกว่า ๒๕ ปี) มีมุมมองที่แตกต่างจากคนแรก  เขาชี้ให้เห็นว่าแม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายทางการศึกษาในเร็วๆนี้ แต่ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยจะค่อยๆพัฒนาต่อไป เพราะว่าเมื่อประมาณ ๒๕ ปีที่แล้ว เขาได้เริ่มทำงานที่ประเทศไทย ณ ขณะนั้น จำนวนวิศวกร นักบัญชี ที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นยังไม่เป็นที่เพียงพอ ดันนั้นการหาพนักงานที่เหมาะสมกับบริษัทญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ในขณะเดียวกันจำนวนพนักงานที่มีความสามารถก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น เขาจึงคิดว่าจำนวนวิศวกร IT/Robotics อาจจะค่อยๆเพิ่มขึ้นและปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะได้รับการแก้ไข  นอกจากนี้เขากล่าวต่ออีกว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก
ใน ๒๕ ปีที่ผ่านมา แต่ในทางตรงกันข้ามความสามารถของคนญี่ปุ่นที่มาทำธุรกิจที่ไทยไม่ค่อยพัฒนา ยังมีคนน้อยที่สามารถทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย นอกจากนี้คนญี่ปุ่นที่มาจากสำนักงานใหญ่ของญี่ปุ่นมีความต้องการที่จะทำงานโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น คนญี่ปุ่นที่ถูกบริษัทส่งมาส่วนใหญ่อยู่ที่ไทยเพียงชั่วคราวเท่านั้นและไม่พยายามเข้าใจสังคมไทยให้ลึก  (แต่มีคนญี่ปุ่นบางคนคิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนไทย) โจรู้สึกแย่มากที่ฟังเรื่องนี้ นอกจากในประเทศไทยแล้ว โจรู้สึกว่ามีบริษัทญี่ปุ่น(โดยเฉพาะบริษัทใหญ่)ทำธุรกิจแบบนี้ในประเทศอื่นด้วย ถ้าอยากจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนต่างชาติที่ต่างประเทศ โจคิดว่าบริษัทญี่ปุ่นต้องเรียนรู้ว่า When in Rome, do as the Romans. (เมื่ออยู่ที่โรมก็ทำดังที่ชาวโรมทำกัน)
https://twitter.com/nextstepenglish/status/881340974882050048



Saturday, 8 December 2018

ไปเที่ยวอเมริกา


อาทิตย์ที่แล้ว โจไปเที่ยวอเมริกามา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ ๒๕ ปีที่ไปอเมริกา (เคยไปเที่ยวกับครอบครัวในสมัยเด็ก แต่จำไม่ค่อยได้) ตอนแรกโจไปวอชิงตัน ดี.ซี.เพื่อเยี่ยมคุณป้าที่อาศัยอยู่ที่นั้นมากกว่า ๕๐ ปี โจถึงอาเมริกาวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน (หนึ่งวันหลังจากวันขอบคุณพระเจ้า) ทำให้ราคาไก่งวงลดลงมาก คุณป้าจึงซื้อไก่งวงมาทำอาหารให้โจกิน
ตั้งแต่วันเสาร์ถึงวันจันทร์โจไปพิพิธภัณฑ์หลายที่และเดินเล่นบริเวณที่มีอนุสาวรีย์วอชิงตัน โจสังเกตเห็นว่าวอชิงตัน ดี.ซี.ไม่มีตึกสูงกว่าอนุสาวรีย์วอชิงตัน (169 เมตร) และบรรยากาศสงบเงียบดี นอกจากนี้แล้วโจรู้สึกประทับใจที่รู้ว่าพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่เข้าฟรีด้วย โจไปเที่ยวหลายที่เช่น หอศิลป์แห่งชาติ(National Gallery of Art) พิพิธภัณฑ์ยานบินและอวกาศแห่งชาติ (National Air and Space Museum) หอจดหมายเหตุแห่งชาติ(National Archives) อนุสาวรีย์ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง (Martin Luther King’s memorial) เป็นต้น การแสดงของพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ก็น่าสนใจ นอกจากนี้แล้วเพื่อนคนอเมริกาเชิญโจกับคุณป้าไปที่บ้านของเค้าและเราทานอาหารเย็นด้วยกัน ไม่รู้ว่าบ้านที่วอชิงตัน ดี.ซี.โดยทั่วไปใหญ่แค่ไหน แต่รู้สึกว่าบ้านของเพื่อนดูเหมือนรีสอร์ต ถ้าอาศัยอยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี.จำเป็นเพราะว่าระบบขนส่งสาธารณะไม่ค่อยพัฒนา แต่บ้านใหญ่ มีธรรมชาติและสงบเงียบด้วย  


หลังจากนั้นโจไปเที่ยวนิวยอร์กต่อไปคนเดียวเพื่อตามรอยการ์ตูน Banana Fish ตั้งแต่มากกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว โจเป็นแฟนของการ์ตูนนี้และอยากจะไปตามรอย โจไปเซ็นทรัลปาร์ค (Central Park สวนสาธารณะ) หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก (New York Public Library) และ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา(American Museum of Natural History) เป็นต้น รู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่าไม่ว่าที่ไหนก็ยังเหมือนกับในการ์ตูนเรื่องนี้
หลังจากตามรอยเสร็จ โจไปทานอาหารกับคนรู้จักที่ทำงานที่นี่และหลังจากนันไปเที่ยวหลายที่เช่น อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ อเมริกา ตึกเอ็มไพร์สเตต ร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ เป็นต้น สถาปัตยกรรมของตึกเก่าๆก็สวยมาก ในวันสุดท้าย โจไปดูละครบรอดเวย์ “โฟรเซน (ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ)” เพราะว่าโจเคยดูหนังและรู้เนื้อเรื่องกับเพลงแล้ว แม้ว่าจะภาษาอังกฤษฟังไม่ทัน โจก็สามารถเข้าใจส่วนใหญ่ได้ การแสดงกับเพลงยอดเยี่ยมมาก แต่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเกี่ยวกับการคัดเลือกนักแสดง ไม่แน่ใจว่าจังใจเลือกอย่างนี้หรือไม่ เพราะนักแสดงที่แสดง Elsa เป็นคนผิวขาวและนักแสดงที่ดสดงบท Anna เป็นคนผิวดำ(ในช่วนสมัยเด็ก นักแสดงทั้ง ๒ คน เป็นผิวขาว โจจึงรู้สึกแปลกนิดหน่อย)
ตอนนี้ผ่านไป ๕ วันแล้วหลังจากกลับมาญี่ปุ่น แต่โจยังมีอาการเจ็ตแล็ก (เมาเวลา) และรู้สึกไม่ค่อยสบาย คิดว่าคราวหน้าจะต้องเตรียมตัวให้ดีๆเพื่อป้องกันเจ็ตแล็ก