Sunday, 26 November 2017

นโยบายเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศอินเดีย

ในการทำงาน โจใช้บริการ เว็บไซต์ NNA (News Net Asia) เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจของเอเชียเกี่ยวกับเว็บไซต์ นี้ โจรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้จำนวนบทความเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจของอินเดีย ไม่รู้ว่าเป้าหมายนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหน แต่รัฐบาลอินเดียมีเป้าหมายที่จะหยุดการขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก่อน ปี 2030 เพื่อช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมและป้องกันมลพิษทางอากาศ โจรู้ว่านอกจากอินเดียแล้ว
https://ec.europa.eu/jrc/en/news/fiscal-incentives-how-do-they-impact-electric-vehicle-sales

หลายๆประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และ อินโดนีเซีย เป็นต้น ก็มีเป้าหมายแบบนี้ รัฐบาลไทยเองก็มีแผนการที่จะเปลี่ยนรถตุ๊กเป็นรถตุ๊กๆไฟฟ้า แต่ถ้าคิดรวมถึงสถานการณ์ไฟฟ้าของประเทศอินเดีย (อุปทานของไฟฟ้ายังไม่พอและหลายหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้) เป้าหมายนี้ก็ดูทะเยอทะยานมากไป
ร่างแผนยุทธศ่าสตร์ทางอุปทานไฟฟ้าที่รัฐบาลเปิดเผยเมื่อปีที่แล้วแสดงว่ารัฐบาลจะเพิ่มอุปทานไฟฟ้าถึงสองเท่าภายใน 10 ปีโดยใช้พลังงานหมุนเวียนเช่นพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางพลังงานหมุนเวียนจะพัฒนาในอนาคตอีกแค่ไหน แต่ตอนนี้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนไม่ค่อยเสถียรเพราะว่าพลังงานขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ นอกจากนี้แล้วราคาอุปกรณ์ก็ไม่ถูกเท่าไร
โจก็เลยยังรู้สึกสงสัยกับความเป็นไปได้ของเป้าหมายของอินเดีย แต่อิก่อนหน้านี้เดียก็เคยใช้นโยบายที่แรงๆ(เช่น การยกเลิกของธนบัตร 500 และ 1000 รูปี การใช้นโยบาย GST เป็นต้น ) โจจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอินเดียจะใช้นโยบายแรงๆเพื่อบรรลุเป้าหมาย โจอยากจะรู้ว่าถ้าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่อีนเดียแค่ไหนด้วย (ตอนนี้ประเทศจีนผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก)

พ่อแม่

ตั้งแต่ราวๆ ๔-๕ ปีที่แล้ว แม่ของโจไม่สบายและเมื่อ ๒-๓ เดือนที่ผ่านมาอาการของแม่ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม่กำลังจะเข้าสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายท้าย (Hospice คือสถานที่ที่ช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถจากไปได้อย่างสงบและไม่ทุกข์ทรมาร) วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษครอบครัวของโจจึงใช้เวลาอยู่กับแม่ตลอดวัน

ตั้งแต่พ่อรู้ว่าแม่อาจจะมีเวลาเหลืออีกไม่ค่อยนาน พ่อก็ไม่ค่อยแสดงความเศร้าเสียใจของตัวเองออกมาเท่าไหร่และโจก็จำไม่ได้แล้วว่าพ่อร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ แต่วันนี้ตอนที่พ่อคุยกับแม่หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ พ่อก็ร้องไห้หนักมากๆและภาพนั้นทำให้โจรู้สึกสะเทือนใจมาก 
ตอนที่แม่บอกว่าอยากจะหยุดใช้ยาต้านมะเร็ง (เพราะผลข้างเคียงแรงมากไป) และอยากจะเข้าสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โจยอมรับและสนับสนุนความคิดเห็นของแม่ เพราะว่าโจอยากให้แม่มีเวลาที่เงียบสงบโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ว่าพ่ออยากให้แม่พยายามใช้ยาต้านมะเร็งต่อไปและพ่ออยากที่จะดูแลแม่ที่บ้านเท่าที่ทำได้ เมื่อก่อนโจไม่ค่อยเข้าใจความปรารถนาของพ่อ เพราะว่าสิ่งนั้นอาจจะต้องทำให้แม่รู้สึกเจ็บปวดทรมารอีก แต่ว่าวันนี้ตอนที่เห็นพ่อร้องไห้หนักมากๆ โจจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกที่อยู่ลึกๆในใจของพ่อได้และเข้าใจได้ว่าทำไมพ่อถึงคิดอย่างนั้น เพราะว่าพ่ออยากที่จะใช้เวลาอยู่กับแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และพ่อคงรู้สึกเหงามากหากแม่ต้องออกจากบ้านไป ความรู้สึกของพ่อที่มีต่อแม่มันมากกว่าที่โจคิดเอาไว้


ไม่รู้เพราะว่าพ่อกับแม่แต่งงานกันโดยดูตัวรึป่าว ทำให้ตั้งแต่โจยังเป็นเด็ก โจไม่ค่อยเห็นพ่อกับแม่แสดงความรักต่อกัน (สำหรับโจพวกเขาดูเป็นคู่ชีวิตมากกว่าคู่รัก) แต่วันนี้โจได้เข้าใจว่าแม้จะไม่ได้แสดงความรักออกมาอย่างชัดเจนและถึงแม้ว่าจะเถียงกันบ่อยๆความรักของพ่อที่มีอยู่ในใจลึกๆของพ่อนั้นลึกซึ้งมาก (พ่อของโจเป็นคนหัวโบราณแสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่งและคิดมากเครียดง่าย เวลาอยู่กับเขาจึงทำให้เรื่องเหนื่อยได้ง่าย แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นคนที่ใจดีและอ่อนโยนมากด้วย ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าแม่จะสามารถอยูได้อีกแค่ไหน แต่อยากให้แม่มีเวลาที่เงียบสงบ (อยากจะฉลองปีใหม่พร้อมกับครอบครัวทุกคน ) และ อยากจะช่วยให้กำลังใจพ่อด้วย