อาทิตย์ที่แล้วโจไปเที่ยวอเมริกากับครอบครัวมา เมื่อโจไปเที่ยวอเมริกาครั้งที่แล้ว
โจมีปัญหาอาการเจ็ตแล็กมาก (ในเวลากลางคืนไม่สามารถนอนได้เลย และรู้สึกง่วงนอนมากในกลางวัน)
ครั้งนี้โจจึงเตรียมตัวให้ดีสำหรับปัญหานี้ หลังจากบินออกจาโตเกียว กตอนเช้า(ที่อเมริกาเที่ยงคืน) โจไม่ได้กินอาหารและพยายามนอนแทนโดยใช้
หน้ากากปิดตา ที่อุดหู และยานอนหลับด้วย ดูเหมือนว่าวิธีแก้อาการเจ็ตแล็กนี้มีประโยชน์
ตั้งแต่วันแรก โจไม่ค่อยรู้สึกง่วงนอน
ครั้งนี้ก็ไปเที่ยวเมืองนิวยอร์กและเยี่ยมคุณป้าที่อาศัยอยู่เมืองวอชิงตัน
ดี.ซี ที่นิวยอร์ก โจจะต้องจัดการทุกอย่างและพาครอบครัวไปที่สถานที่ท่องเที่ยวเหมือนเป็นมัคคุเทศก์
ก่อนไปเที่ยว โจเข้าใจผิดว่านิวยอร์กเย็นกว่าโตเกียว (เส้นรุ้งของนิวยอร์กอยู่ระดับเดียวกันกับจังหวัด
Aomori และเมื่อโจไปเที่ยวนิวยอร์กสิ้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
โจรู้สึกหนาวมากกว่าโตเกียว) แต่ครั้งนี้นิวยอร์กร้อนมากกว่าโตเกียวเยอะ ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้ง่าย
วันแรกที่นิวยอร์ก เราเดินเล่นแถวๆโรงแรมและไปกินอาหารกลางวันที่ร้าน
Sarabeth's ร้านอาหารที่มีชื่อเสี่ยงกับ “Breakfast Queen of
New York (พระราชินีทางอาหารเช้าของนิวยอร์ก)”
จริงๆแล้ว โจเคยไปสาขาที่โตเกียวแต่ความรู้สึกที่ทานที่นิวยอร์กดีกว่าโตเกียว
หลังจากนั้น เรากลับโรงแรมพักผ่อนนิดหน่อยและไปดูวิวที่ตึกเอ็มไพร์สเตต
เรารู้สึกตกใจที่รู้ว่าเวลากลางวันของนิวยอร์กนานมาก เมื่อเราไปถึงตึกนี้ก็ประมาณสองทุ่มแล้ว
แต่พระอาทิตย์ยังไม่ตก ดังนั้นเราจึงสามารถดูพระอาทิตย์ตกที่สวยมากได้
วันที่ ๒ เราไปดูอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ครั้งที่แล้วเมื่อโจมาที่นี้ อากาศหนาวมากเกินไปและ
โจไม่สามารถอยู่ข้างนอกนานได้ (อยู่ที่เกาะลิเบอร์ตี้แค่ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น) ครั้งนี้อากาศร้อนมากเกินไป แต่ยังดีกว่าหนาวมากเกินไป
โจจึงสามารถเดินเล่นได้ ดีใจที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพโดยเข้าพิพิธภัณฑ์ที่เปิดใหม่ปีนี้
หลังจากน้นเราไปพิพิธภัณฑ์รำลึกเหตุการณ์ 9/11 และไปทานอาหารกับเพื่อนคนอเมริกาที่เคยมาเรียนที่โตเกียวเพราะว่าเพื่อนคนนี้เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นนิดหน่อยและหลานสาวโจก็เพิ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ
คิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งสองคนที่จะได้ใช้ภาษาต่างประเทศ โจเข้าใจว่าตัวเองอายุมากกว่าเพื่อน 13-14 ปี และเพื่อนก็อายุมากกว่าหลานสาว 13-14 ปี ด้วย ตอนนี้หลานสาวยังเด็กมากและ ไม่สามารถพูดภาษาอังกษได้
แต่หวังว่าอีกประมาณ13-14 ปีหน้าหลานสาวจะสามารถคุยกับเค้าโดยใช้ภาษาอังกฤษได้และเป็นเพื่อนกับเค้าเหมือนโจกับเพื่อนคนนั้น
วันที่ ๓ ครอบครัวพี่สาวเข้าร่วมทัวร์หนึ่งวันเพื่อไปดูน้ำตกไนแอการา
แต่ทัวร์นี้ดูยุ่งยากมาก (จะต้องตื่นนอนตี ๔ และจะกลับตอนเที่ยงคืน ) โจกลัวว่าตัวเองจะเหนื่อยมากเกินไปและไม่สบายเมื่อกลับมาญี่ปุ่น
พ่อกับโจจึงไม่ได้เข้าร่วมทัวร์นี้ เราเลยไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันแทน เรารู้สึกประทับใจที่รู้ว่าถ้าไปนอกนิวยอร์กนิดหน่อย
บรรยากาศก็เปลี่ยนไปมาก แถวๆมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันมีธรรมชาติมากและบรรยากาศเงียบสงบดี
วันที่ ๔ ตอนเช้าอากาศเย็นสบายดี เราจึงไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันโดยเดินผ่าน
เซ็นทรัลพาร์ก
ในตอนกลางคืน เราไปดูละครบรอดเวย์ ครั้งนี้ โจเลือกเรื่อง Aladdin ที่หลานสาวก็เข้าใจได้ง่าย การแสดงก็สนุกดี
แต่ตอนที่ร่วมดูการแสดงนี้ หลายครั้งโจรู้สึกแย่กับความสามารถทางภาษาอังกฤษตัวเอง เช่นเมื่อนักแสดงพูดเรื่องตลก
คนอื่นหัวเราะกันมาก แต่โจฟังไม่ทันเลยและไม่สามารถหัวเราะกับคนอื่นได้
ประสบการณ์นี้ทำให้โจเข้าใจความสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤมากกว่านี้ ปกติโจใช้ภาษาอังกฤษเมื่อคุยเรื่องเศรษฐกิจกับคนเอเชีย
แต่คิดว่าจะต้องพัฒนาความสามารถทางการฟังจากเจ้าของภาษาและคำศัพท์ที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
นอกจากเรียนภาษาอังกฤษแล้ว คิดว่าจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ค่อยคุ้นเคยไม่ค่อยเข้าใจเช่น
วิทยาศาสตร์ ศาสนา ประวัติศาสตร์ และศิลปะด้วย