Monday 19 November 2018

อัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยกำลังจะสูงขึ้น?


ประมาณ ๘ เดือนที่แล้ว โจเขียนไดอารี่เกี่ยวกับนโยบายการเงินของประเทศไทยและในไดอารี่นั้นโจเขียนว่าตัวเองรู้สึกสนใจที่ได้รู้ว่ามีกรรมการคนหนึ่งใน ๗ คน เสนอให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ย  ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่เปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ แต่เพราะว่าราคาน้ำมันค่อยๆปรับสูงขึ้นและเศรษฐกิจไทยก็ค่อยๆดีขึ้น จำนวนกรรมการที่สนับสนุนให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเดือนกันยายนที่ผ่านมามีกรรมการ ๒ คนใน ๗ คน สนับสนุนให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยและในการประชุมของเดือนนี้มี ๓ คน ใน ๗ คนสนับสนุนให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ย  นักวิเคราะห์เศรษฐกิจกับนักลงทุนบางคนมีความคิดเห็นว่าธปท.จะปรับเพิ่มนโยบายอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (วันที่ ๑๙ ธันวาคม) 
แต่โจยังรู้สึกสงสัยว่าธปท. มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเพิ่มนโยบายอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ มี 3 เหตุผลหลักที่ทำโจคิดอย่างนี้ 1) ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง (๒ เดือนที่แล้ว ๑ บาร์เรล (barrel ) เท่ากับ ราวๆ ๗๐ ดอลล่าร์ แต่ตอนนี้เหลือราวๆ ๕๕ ดอลล่าร์) 2)อัตราเงินเฟ้อ (โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมอาหารสดกับพลังงาน) ยังไม่สูง เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธปท.คือ 2.5±1.5 แต่อัตราเงินเฟ้อตอนนี้อยู่ที่ราวๆ 1.3 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็ยังต่ำกว่า 1 3) ผลสถิติเกี่ยวกับเศรษฐกิจของเดือนกันยายนที่รัฐบาลเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วไม่ค่อยดีและยังมีปัจจัยอื่นที่มีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลง (เช่น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯและการเลือกตั้ง เป็นต้น)


https://markets.businessinsider.com/commodities/oil-price?type=wti

โจรู้สึกสนใจว่าธปท.จะปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งหน้าจริงๆหรือไม่


<Reference>
Will Thailand’s low inflation continue under economic expansion? 

Sunday 11 November 2018

อ่อนไหวต่อเสียงในออฟฟิศมากขึ้น ?


ไม่รู้ว่าความเครียดจากการทำงานทำให้โจอ่อนไหวต่อเสียงมากขึ้นหรือไม่ แต่เดี๋ยวนี้โจรู้สึกว่าเสียงคีย์บอร์ดกับเมาส์ของเพื่อนร่วมงานส่งเสียงดังมาก ปกติที่ออฟฟิศโจพยายามทำงานโดยไม่ให้เกิดเสียงเท่าที่ทำได้ เช่น โจกดคีย์บอร์ดกับเมาส์เบาๆและขยับของเบาๆด้วย  นอกจากนี้แล้ว เมื่อคุยกับเพื่อนร่วมงานมากกว่า 3 นาที โจจะพาเพื่อนร่วมงานไปที่ห้องประชุมหรือโรงอาหารของบริษัท โจทำงานแบบนี้เพราะว่าออฟฟิศของโจเงียบกว่าออฟฟิศของบริษัททั่วไป(บรรยากาศคล้ายกันกับห้องสมุด)และเราสามารถได้ยินเสียงของคนอื่นได้อย่างชัดเจน โจรู้สึกว่าถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังจะทำให้เราไม่มีสมาธิและประสิทธิภาพในงานทำงานก็ลดลงมาก แต่เพื่อนร่วมงานที่พึ้งเข้าร่วมบริษัทกับคนที่ย้ายที่นั่งมาทำงานแถวๆโจทำงานโดยเกิดเสียงดังมาก (รู้สึกกลัวว่าคีย์บอร์ดกำลังจะแตก)
https://pt.slideshare.net/mollyyylovesyou/molly1030/5
ตอนแรกโจทำงานโดยใส่ที่อุดหูและบางทีเมื่อเพื่อนร่วมงานคุยกันนานๆแถวๆโจ โจบอกให้พวกเขาไปที่ห้องประชุม แต่พวกเขายังคงเสียงดังต่อไปและโจค่อยๆรู้สึกเบื่อที่จะต้องอดทนและเบื่อที่จะบอกเรื่องที่บอกไปหลายครั้งแล้วให้เพื่อนร่วมงานฟัง ความเครียดที่มาจากเสียงทำให้โจอ่อนไหวต่อเสียงมากขึ้นไปอีกและรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในวงจรอุบาทว์ ดังนั้นโจจึงตัดสินใจว่าจะทำงานที่อื่นเช่น ร้านกาแฟ บ้านหรือห้องสมุดของมหาวิทยาลัย (แวะออฟฟิศเพื่อเช็คเมล์ เข้าร่วมการประชุมและให้เจ้านายเช็ครายงานเท่านั้น) บางทีร้านกาแฟเสียงดังมากกว่าออฟฟิศแต่เข้าใจว่าตัวเองอดทนได้เพราะว่าตัวเองรู้อยู่แล้วว่าร้านกาแฟเป็นสถานที่แบบนั้น (ถ้าเสียงดังมากไป เมื่อไรก็ย้ายที่นั่งหรือร้านได้ด้วยโจเข้าใจว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นบางคนก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง แต่พวกเขายังไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้คนที่ทำเสียงดังและทำงานโดยอดทนต่อไป (จริงๆแล้วบริษัทของโจไม่มีเวลาจำกัดและไม่ต้องทำงานที่ออฟฟิศทุกวันตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนเย็น แต่หลายคนลังเลที่จะทำงานนอกบริษัท) โจรู้สึกสงสารกับคนที่อดทนกับสถานการณ์ลำบากโดยไม่แก้ไขปัญหาหรือเปลี่ยนสถานการณ์เอง คิดว่าวิธีที่โจใช้ก็ไม่ใช่วิธีดีสุดเพราะว่าไม่ได้แก้ไขปัญหาเลย แต่ยังรู้สึกว่า逃げるは恥だが役に立つ/Nigeru ha haji daga yakuni tatsu (ชื่อของชีรีย์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมาก มีความหมายว่า การหนีเป็นเรื่องน่าอาย แต่ก็มีประโยชน์
https://www.smartbrief.com/original/2017/05/your-office-making-your-employees-less-productive
ดูเหมือนว่านอกจากออฟฟิศของโจแล้ว หลายบริษัทก็มีปัญหาแบบนี้ด้วยเช่นกัน แต่ในสังคมญี่ปุ่นยังไม่มีใครที่มีความกล้ามากพอที่จะออกมาต่อต้านกระแสสังคม เพื่อที่จะทำให้ออฟฟิศสงบเงียบขึ้นและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำงาน อาจจะเพราะว่าหลายคนยังคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆและไม่ค่อยสำคัญ แต่โจคิดว่า ちりも積もれば山となる(แม้จะเป็นแค่สิ่งเล็กๆ แต่ถ้าทับถมกันมากก็จะกลายเป็นภูเขาได้) แม้ว่าเรารู้สึกเกรงใจแค่ไหน เราควรจะบอกให้คนเสียงดังรู้ว่าเขาเสียงดังแค่ไหนและรบกวนคนอื่นแค่ไหน ตอนนี้มีคีย์บอร์ดกับเมาส์ที่ไม่ค่อยมีเสียงแล้ว แต่อยากให้เทคโนโลยีพัฒนาอีกและอยากจะให้มีคีย์บอร์ดกับเมาส์ที่ไม่มีเสียงเลย

ไปเที่ยว Hiroshima กับ Osaka

อาทิตย์ที่แล้วโจไปเที่ยว Hiroshima (ฮิโรชิมะ) กับ Osaka (โอซาก้า) กับเพื่อนที่มาจากสิงคโปร์
โจไป Hiroshima ๑ วันก่อนที่เพื่อนจะมาถึง Hiroshima เพื่อเจอเพื่อนสมัยมหาลัยที่ทำงานที่นี่
รู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่าเขาเป็นพ่อคนแล้ว (รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ) ได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับการทำงานของเขาก็น่าสนใจด้วย (เขาช่วยธุรกิจของครอบครัวอาทิตย์ละ ๓-๔ วันในขณะที่เริ่มทำธุรกิจของตัวเองด้วย)  
หลังจากเพื่อนคนสิงคโปร์มาถึง Hiroshima เราไปเที่ยวที่ศาลเจ้า Itsukushima (อิสึกุชิมะ) ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Miyajima (มิยาจิม่า ) วิวสวยมากและลมทะเลก็เย็นสบายดี แต่เพราะว่าโจไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และไม่ค่อยรู้คำศัพท์เฉพาะทางศาสนา จึงทำให้การอธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาลเจ้านี้ให้เพื่อนเป็นไปอย่างยากลำบาก (ทุกครั้งเมื่อโจพูดภาษาอังกฤษในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ โจรู้สึกแย่ที่รู้ว่าภาษาอังกฤษของตัวเองไม่ค่อยดีเท่าไร) หลังจากนั้นเราไปอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะและไปที่โอซาก้าต่อไป 
ในตอนเช้าโจพาเพื่อนไปปราสาทโอซาก้าและระหว่างที่เพื่อนไปเที่ยว โจไปทานอาหารกับรุ่นพี่ที่ทำงานที่โอซาก้า โจรู้สึกประทับใจกับเขามากเมื่อได้รู้ว่าเขาใช้เวลานอกเหนือจากการทำงานในการเรียนรู้เกี่ยวกับ Fintech (การทำงานของเขาไม่เกี่ยวกับ Fintech เลย) โจรู้สึกตกใจที่รู้ว่าเขาเขียนรายงานเกี่ยวกับหัวข้อนี้และเข้าร่วม Fintech Summit Tokyo เพื่อนำเสนอรายงานเขาโดยใช้เงินตัวเองและใช้วันหยุดด้วย เรื่องของเขาทำให้โจมีกำลังใจ หลังจากทานอาหารกับรุ่นพี่แล้ว โจไปเที่ยวอีก ๒-๓ ชั่วโมงกับเพื่อนและกลับมาโตเกียวในตอนเย็น
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีโอกาสเจอกับพวกเขา(เพื่อนของ ฮิโรชิมะ สิงคโปร์ กับโอซาก้า) แต่รู้สึกดีใจที่ได้เป็นเพื่อนของพวกเขานานๆ อยากจะคนมิตรภาพที่ดีแบบนี้ไว้ตลอดไป