Sunday 18 May 2014

ภาษาต่างประเทศกับการตัดสินใจ



วันนี้โจอ่านบทความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับการตัดสินใจโดยใช้คติธรรม นอกจากบทความนี้แล้ว บางที่นิตยสาร The Economist ก็มีบทความเกี่ยวกับการใช้ภาษาต่างประเทศต่อวิธีคิดและชี้ให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่การใช้ภาษาต่างประเทศจะเปลี่ยนวิธีคิด/ลักษณะนิสัยของคนที่พูด เช่น เมื่อพูดภาษาต่างประเทศ บางคนพูดมากกว่าปกติ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าความคิดนี้จริงๆถูกหรือไม่


บทความที่โจอ่านวันนี้แนะนำการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ภาษาต่างประเทศต่อการตัดสินใจโดยใช้คติธรรมโดยใช้ตัวอย่าง ปัญหา รถราง ในตัวอย่างนี้ มีรถรางที่เบรกเสียแล้ว ถ้ารถรางนี้ไปตรงไปโดยไม่หยุด คนที่อยู่บนทางรถไฟ ๕ คนจะเสียชีวิต แต่ถ้าคนขับรถเลี้ยวไปทางอื่น คนอื่นที่อยู่ทางรถไฟนี้ แค่ ๑ คนจะเสียชีวิต และ ๕ คนนั้นจะสามารถรอดชีวิตได้ สำหรับปัญหานี้ บางคนไม่ยอมรับ แต่หลายคนคิดว่าคนขับรถควรจะเลี้ยวดีกว่าเพราะฆ่า แค่ ๑ คนดีกว่า ฆ่า ๕ คน

แต่ถ้าสถานการณ์เปลียนนิดหน่อย ความคิดของเราก็เปลี่ยนด้วย ในสถานการณ์ใหม่ มีรถรางที่เบรกเสียและถ้ารถรางนี้ไปตรงไปโดยไม่หยุดคน  ๕ คนจะเสียชีวิตเหมือนกัน แต่ไม่มีทางรถไฟอื่นและมีผู้ชายที่อยู่บนสะพานเหนื่อทางรถไฟแทน เขาตัวใหญ่มากและอ้วนมากด้วย ถ้าเราผลักเขาตกลงไป เขาจะโดนรถรางชนต่ายเสียชีวต แต่รถรางจะหยุดและคน ๕ คนสามารถรอดชีวิตได้ ถ้าอยากจะช่วยหลายคน เราควรจะผลักเขา แต่บางคน คนที่บอกว่าคนขับรถควรจะเลี้ยวในสถานการณ์ก่อนก็ไม่เห็นด้วย  สำหรับบางคนนักวิจัยถามเรื่องนี้โดยใช้ภาษาแม่ของคนที่ตอบ และสำหรับบางคนใช้ภาษาต่างประเทศ เขาเข้าใจว่าถ้าเปลี่ยนภาษา อัตราส่วนของคำตอบก็เปลี่ยนแปลงด้วยและเมื่อเราเข้าใช้ภาษาต่างประเทศ อัตราส่วนที่คิดว่าเราควรจะผลักผู้ชายตกลงสูงขึ้นยังไม่แน่ใจว่าความแตกต่างนี้มาจากภาษาเท่านั้นหรือไม่ แต่นักเขียนบอกว่าเมื่อเราคิดโดยใช้ภาษาแม่ เรามักจะคิดด้วยความรู้สึกมากกว่าคิดด้วยเหตุผล (ดูเหมือนว่าสมองที่ทำงานจะไม่เหมือนกันระหว่างภาษาแม่กับภาษาต่างประเทศ)นักเขียนบอกว่าบางทีการใช้ภาษาต่างประเทศก็เลยทำให้เราคิดมีเหตุผล
http://www.olamoller.com/intuitive-vs-rational/
แต่โจไม่เคยรู้สึกว่าเมื่อใช้ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ การตัดสินใจโดยใช้คติธรรมของตัวเองเปลี่ยนและคิดมีเหตุผลมากกว่าภาษาญี่ปุ่น

อ้างอิง : Language and morality/ Gained in translation (May 17th 2014)


No comments:

Post a Comment