อาทิตย์นี้นิตยสาร The Economist มีบทความเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจโลก(โจรู้สึกว่าหลังจากวิกฤตการเงินในโลกปี ๒๕๕๑ จำนวนบทความที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจโลกบทความที่เปรียบเทียบระหว่างประเทศกำลังพัฒนากับประเทศพัฒนาแล้วและบทความที่เกี่ยวกับการเปลียนแปลงของขั้วอำนาจนั้นมากขึ้น)
บทความนี้ก็บอกว่า GDP ของประเทศกำลังพัฒนากำลังเพิ่มขึ้นและความสำคัญของเศรษฐกิจของอเมริกากำลังลดลงเหมือนกับบทความอื่น แต่บทความนี้ได้สรุปปัญหาความเสี่ยงจากการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนาที่จะทำให้เกิดปัญหาต่อเศรฐกิจโลกให้เข้าใจได้ง่ายกว่า ซึ่งสรุปได้ ๓ ข้อดังนี้
ข้อที่ ๑ การสูงขึ้นของราคาอาหารกับทรัพยากร ยิ่ง GDP เพิ่มขึ้นอุปสงค์อุปทานก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่สำหรับอาหารกับทรัพยากรนั้นการเพิ่มขึ้นของอุปทานจะทำได้ยาก
ข้อที่ ๒ จำนวนคนตกงานในประเทศกำลังพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น ยิ่งความสัมพันธ์ทางธุรกิจแน่นแฟ้นขึ้นโรงงานก็จะยายจากประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนาได้ง่ายทำให้จำนวนคนที่ตกงานในประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น
ข้อที่ ๓ การจัดการเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ดูเหมือนว่าการจัดการทางด้านวิกฤตการเงินของประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศยังไม่ค่อยดีและไม่แน่ใจว่าประเทศเหล่านั้นจะจัดการปัญหาที่จะเกิดได้หรือไม่
บทความนี้สแสดงให้เห็นว่ากระแสการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกนี้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศจีนและคาดว่า GDP ของประเทศจีนจะเพิ่มมากกว่าอเมริกาภายใน ๑๕ ปีและความเร็วของการเพิ่มนั้นจะขึ้นอยู่กับอัตราการการเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตร่าระหว่างเงินจีนกับเงินดอลลาร์
เดี๋ยวนี้นิตยสารกับหนังสือพิมพ์หลายฉบับมีบทความที่เปรียบเทียบ GDP ของประเทศจีนกับอเมริกาและคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศจีนจะเพิ่มมากกว่าอเมริกาเมื่อไร แต่โจคิดว่าไม่มีบทความที่เขียนเรื่องความแตกต่างของระบบ GDP ระหว่าง ๒ ประเทศนี้ (ระบบ GDP เหมือนกับการทำบัญชีของบริษัทคือถ้าระบบไม่เหมือนกัน ก็ไม่สมารถที่จะนำมาเปรียบเทียบได้)
บางคนบอกว่าระบบกับวิธีการคาดคะเนของประเทศจีนก็ยังมีปัญหาอยู่มาก อยากให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับมีบทความที่เขียนอธิบายเรื่องความแตกต่างของระบบ GDP ระหว่าง ๒ ประเทศนี้และอธิบายเรื่องปัญหาของระบบ GDP ของประเทศจีนให้เข้าใจง่าย
<อ้างอิง>
Catching up is so very hard to do (Sep 24th 2011 From The Economist)
Becoming number one (Sep 24th 2011 From The Economist)
Save the date (Dec 16th 2010 From The Economist)
No comments:
Post a Comment