สมัยโจเรียนปริญญาโท โจเคยเรียนทฤษฎีนี้แต่ตอนนั้นไม่ได้เข้าใจเลย แต่คิดว่าทฤษฎีนีเป็นทฤษฎีที่ดีกว่าทฤษฎีอื่นเพราะว่าคณิตศาสตร์ที่อยู่ในทฤษฎีนี้ซับซ้อนและเข้าใจยากมาก
แต่หลังจากโจเรียนจบและเริ่มวิจัยสถานการณ์เศรษฐกิจจริง ความคิดนี้เปลี่ยนไป เพราะโจรู้สึกว่าโลกนี้ซับซ้อนมากกว่าในทฤษฎี และโลกนี้มีหลายปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง (เช่นการเปลี่ยนแปลง กฎหมาย ระบบบริษัท ระบบตลาดการเงิน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น) แต่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คิดว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ค่อยสำคัญและไม่ค่อยวิจัยปัจจัยเหล่านี้อย่างละเอียดโดยการใช้ข้อมูลหลายตัวประกอบการวิจัย
(สมัยก่อนเพื่อนของโจที่วิจัยทฤษฎีนี้บอกว่าการใช้ปัจจัยที่โจกล่าวถึงในบ้างต้นเช่นการเปลี่ยนแปลง กฎหมาย ระบบบริษัท เป็นต้น ไม่สามารถนำมาใช้ได้เพราะไม่มีสูตรในคณิตศาสตร์เพื่อใช้คำนวณปัจจัยเหล่านี้ แต่โจคิดว่าการเข้าใจเศรษฐกิจในความเป็นจริงมีความสำคัญมากกว่าการเข้าใจแค่ทฤษฎี การเข้าใจแค่ทฤษฎีไม่ได้แปลว่าเขาเข้าใจเศรษฐกิจในความเป็นจริง)
นอกจากนี้แล้วโจรู้สึกว่าคนที่วิจัยทฤษฎีนี้บางคนไม่ค่อยสนใจเศรษฐกิจในความเป็นจริงและไม่สามารถอธิบายความนัยของทฤษฎีนี้ให้คนธรรมดาเข้าใจได้ง่าย
โจคิดว่าการวิจัยเศรษฐกิจมีหลายวิธีและการวิจัยเศรษฐกิจโดยใช้ทฤษฎีที่มีคณิตศาสตร์เป็นเพียง ๑ วิธีในหลายวิธี นักวิจัยที่ใช้หลายวิธีก็เลยควรจะแบ่งปันวิธีที่เขาใช้ระหว่างกันเพื่อเข้าใจเศรษฐกิจได้ดีขึ้น แต่บางคนดูเหมือนจะคิดว่าเขาเก่งกว่าคนอื่นเพราะเขาใช้ทฤษฎีที่คนอื่นไม่เข้าใจโจคิดว่าถ้าคนอื่นไม่เข้าใจ
เรื่องนี้ไม่ได้แปลว่าเขาฉลาดและความคิดของเขาดีกว่าคนอื่น แต่แปลว่าการอธิบายของเขาไม่ดีเลยเท่านั้นสมัยโจเรียนปริญญาโทโจคิดว่าโจไม่เข้าใจทฤษฎีนี้เพราะโจหัวไม่ดีและไม่เกี่ยวกับวิธีสอนของอาจารย์ แต่หลังจากโจเริ่มทำงานความคิดนี้ก็เปลี่ยนไป
หัวหน้าของโจบอกโจบ่อยๆ ว่า เราจะต้องเขียนรายงานให้เข้าใจง่ายเพราะเราอยากให้หลายคนอ่าน ถ้าคนอ่านรู้สึกไม่สนใจเพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เราเขียน จะเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน จริงๆ โจคิดว่าการเขียนรายงานให้หลายคนเข้าใจเป็นสิ่งที่ยากมาก
นอกจากโจแล้ว หลังจากวิกฤตการเงินโลกในปี ๒๕๕๑ หลายคนก็ชี้ให้เห็นว่าการวิจัยโดยใช้ทฤษฎีนี้มีปัญหามากเพราะทฤษฎีนี้ไม่ได้คาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตกับป้องกันวิกฤตไม่ให้เกิดขึ้น (เช่น ทฤษฎีนี้คิดว่า คนเรามีฟฤติกรรมที่มีเหตึผลตลาดการเงินกับแรงงานก็ไม่มีปัญหา และไม่มีการผิดนัดชำระหนี้กับเศรษฐกิจฟองสบู่ เป็นต้น)
ตอนนั้นโจคิดว่าความคิดของโจถูกและกระแสเกี่ยวกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงในอนาคตการประชุมเกี่ยวกับทฤษฎี DSGE เมื่อวันศุกร์ทำให้โจเริ่มรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้วเพราะมีคนอธิบายให้โจรู้ว่ามีการปรับเปลี่ยนอะไรในทฤษฎีบ้างหลังจากเกิดวิกฤต
*โจไม่ได้บอกว่าทฤษฎีที่ใช้คณิตศาสต์ซับซอนไม่จำเป็น สำหรับหลายสิ่ง เช่นทฤษฎีราคา หรือ ตราสารอนุพันธ์ ทฤษฎีที่มีการใช้สมการทางคณิตศาสตร์แบบนี้จำเป็น
*โจคิดว่าการพัฒนาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ควรจะทำให้สังคมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแต่บางคนยังไม่ค่อยสนใจสถานการณ์เศรษฐกิจในความเป็นจริงและมุ่งเน้นแค่การวิจัยทฤษฎีที่ไม่มีผลในทางปฏิบัติได้มากพอ
*มีต่อในสัปดาห์หน้า
No comments:
Post a Comment